องค์กรนักวิทยาศาสตร์เพื่อความรับผิดชอบต่อนานาชาติ (เอสจีอาร์) แสดงความเป็นกังวลต่อ ฟุตบอลโลก 2026 ที่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และ เม็กซิโก ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในประวัติศาสตร์
เอสจีอาร์ ได้คำนวณได้คำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งได้ขยายจาก 32 ทีมเป็น 48 ทีม โดยอ้างว่าการแข่งขันจะสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) มากกว่า 9 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลมาจากการพึ่งพาการเดินทางทางอากาศในระดับสูง และจำนวนการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Scientists for Global Responsibility (SGR) says that next year's tournament will be equivalent to nearly 6.5 million average British cars being driven for an ENTIRE YEAR! 😳
— DW Sports (@dw_sports) July 9, 2025
The 2026 World Cup is on track to be the most climate-damaging ever 🌍⚽ #FIFA2026 #ClimateCrisis pic.twitter.com/wjOKWU7uQz
หน่วยงานเอ็นจีโอดังกล่าวระบุว่าตัวเลขข้างต้นมีค่าเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยการแข่งขัน เวิลด์คัพ สี่ครั้งหลังสุด และสูงกว่าการแข่งขัน กาตาร์ 2022 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดการณ์ว่ามีปริมาณการปล่อย CO2e สูงสุด 5.25 ล้านตัน รายงานยังระบุว่าปริมาณรวมที่คาดการณ์ไว้ในปี 2026 นี้ “เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซของรถยนต์อังกฤษโดยเฉลี่ยเกือบ 6.5 ล้านคันที่วิ่งตลอดทั้งปี” และจะทำให้เป็นการแข่งขันที่สร้างมลพิษมากที่สุดเท่าที่เคยจัดมา
รายงานฉบับดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยความร่วมมือกับกองทุนปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Defense Fund) และเครือข่ายกีฬาเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (Sport for Climate Action Network)
ฟุตบอลโลกในปีหน้าจะเป็นครั้งแรกที่จะจัดขึ้นทั่วทั้งทวีป และมีการแข่งขันเพิ่มขึ้น 40 นัด (รวมเป็น 104 นัด) จากเดิม แม้ว่าการแข่งขันทั้งหมดจะใช้สนามที่มีอยู่แล้วก็ตาม
ในเอกสารการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฉบับเดิม สามชาติผู้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2026 ได้เปิดเผยการประมาณการเบื้องต้นของ CO2e ไว้ที่ 3.6 ล้านตัน แม้ว่าในขั้นนั้นจะคาดว่าจะมีการแข่งขันเพียง 80 นัดก็ตาม พวกเขายังระบุว่าการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ “หวังว่าฟุตบอลโลก 2026 จะสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในการกีฬา และมอบผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่วัดผลได้”